วิจัยกรุงศรี ชี้สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงสร้างความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซนในระยะข้างหน้า ขณะที่จีนหันมาเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
**** สหรัส
เฟดมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในเดือนนี้
แต่สัญญาณความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีมากขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์
ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 151,000 ตำแหน่ง จาก 125,000
ตำแหน่งในเดือนมกราคม ส่วนอัตราการว่างงานขยับขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 4.1%
จากเดือนก่อนที่ 4.0% ในขณะที่ค่าจ้างรายชั่วโมงเพิ่มขึ้น 4.0% YoY จาก 3.9%
จากการขยายตัวของการจ้างงานและความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการค้า
รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่เข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 2%
วิจัยกรุงศรีประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ
4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 18 มีนาคมนี้ อย่างไรก็ตาม
ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวในสหรัฐฯ
เริ่มเด่นชัดขึ้นสะท้อนผ่านตัวเลขการบริโภค ภาคบริการ
รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภค
สถานการณ์ดังกล่าวอาจรุนแรงมากขึ้นในปีนี้เมื่อพิจารณาจากภาวะการเงินที่ตึงตัว สะท้อนผ่านยอดการรีไฟแนนซ์หนี้ภาคเอกชนที่สูงขึ้น
ยอดการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้
นโยบายการค้ายังเพิ่มความเสี่ยงด้านขาลง (Downside
risk) ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า
ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นบางชี้ถึงความเป็นไปได้ที่เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ย 2-3
ครั้งในปีนี้
*** ยูโรโซน
ECB ลดดอกเบี้ย
พร้อมปรับลดคาดการณ์ GDP ยูโรโซนลงเพื่อสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%
สู่ระดับ 2.50%
เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มเข้าใกล้เป้าหมายที่ระดับ
2% พร้อมปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนปี 2568 และ 2569 ลงสู่ระดับ
0.9% และ 1.2% ตามลำดับ
เงินยูโรแข็งค่าแรงจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกมากขึ้นในระยะสั้นหลังพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรคสังคมประชาธิปไตยของเยอรมนีได้ตกลงที่จะปฏิรูปข้อจำกัดด้านการกู้ยืมของรัฐที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ
และกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 5 แสนล้านยูโร
อย่างไรก็ตาม
ประเด็นดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนสูงว่ารัฐบาลใหม่จะสามารถเปลี่ยนแปลงกฎหมายดังกล่าวภายใต้ข้อถกเถียงทางการเมืองรวมถึงข้อจำกัดของการเป็นรัฐบาลผสม
ขณะที่การส่งสัญญาณของ ECB ภายหลังปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่
6 มีนาคมที่ผ่านมา ยังคงสะท้อนภาพของเศรษฐกิจยูโรโซนที่อ่อนแอ
รวมถึงความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้าที่สูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่การปรับลดคาดการณ์ GDP
ปี 2568 และ 2569
****
จีน
จีนคงเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจปี
2568 ไว้ที่ราว 5% และมุ่งเน้นกระตุ้นการบริโภคมากขึ้น
รัฐบาลจีนกำหนดเป้าหมายทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับปี 2567 (ดังตาราง)
แต่เพิ่มเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณ และการออกพันธบัตรพิเศษของรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อให้สอดรับกับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่เปลี่ยนจาก
“ระมัดระวัง” เป็น “ผ่อนคลายปานกลาง” นอกจากนี้
รัฐบาลเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภคเป็นเป้าหมายหลักในปีนี้
เมื่อเทียบกับเป้าหมายในปีที่ผ่านมาที่มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพสูง
ท่าทีล่าสุดของรัฐบาลจีนในการประชุมสองสภาแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ราว
5% ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า
โดยเน้นสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในประเทศผ่านมาตรการกระตุ้นการบริโภค
ทั้งการให้เงินอุดหนุน การคุ้มครองผู้บริโภค
และการเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยจนถึงปานกลาง
หากมาตรการดังกล่าวสัมฤทธิผลในระดับหนึ่ง
ภาคอุตสาหกรรมที่ยังเผชิญกับภาวะอุปทานส่วนเกินก็จะได้รับอานิสงส์เชิงบวกด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายนโยบายการเงินอาจเกิดขึ้นช้ากว่าที่คาด
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความกังวลต่อเสถียรภาพในค่าเงินหยวน
เศรษฐกิจไทย
อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะต่ำกว่ากรอบเป้าหมายในช่วงไตรมาสสอง
ขณะที่ภาคท่องเที่ยวเผชิญปัจจัยท้าทายจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงมาก
อัตราอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกุมภาพันธ์ชะลอลงเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายต่อเนื่องเป็นเดือนที่
3 คาดอาจต่ำกว่ากรอบในระยะถัดไป อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 1.08% YoY ชะลอลงจาก 1.32% ในเดือนมกราคม
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาอาหารสดในกลุ่มผักสดที่ลดลงตามปริมาณผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น
ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) อยู่ที่ 0.99% เพิ่มขึ้นจาก 0.83% ในเดือนมกราคม
สำหรับในช่วง 2 เดือนแรกของปี
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 1.20% และ 0.91%
ตามลำดับ
แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปล่าสุดจะชะลอลงมาเล็กน้อยแต่คาดว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้จะยังอยู่ในกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของทางการ
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานที่ติดลบในช่วงไตรมาสแรกของปีก่อน อย่างไรก็ตาม
ในระยะถัดไปอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะกลับมาอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายได้ช่วงไตรมาส
2 หลังจากสิ้นสุดผลของฐานที่ต่ำ
ประกอบกับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้ลดลงต่ำกว่าปีก่อนหน้าทำให้ราคาแก๊สโซฮอล์ภายในประเทศปรับลดลงในทิศทางเดียวกัน
นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีแนวโน้มดำเนินมาตรการบรรเทาค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง
และปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรที่อาจเข้าสู่ตลาดมากขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก
สำหรับทั้งปี 2568 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1%
ซึ่งใกล้ขอบล่างของกรอบเป้าหมายของธปท. ที่ 1-3%
จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงเร็วกว่าคาด
อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวในปีนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์
มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยทั้งสิ้น 3.12 ล้านคน ลดลงจาก 3.71
ล้านคน ในเดือนมกราคม และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน -7%
แต่ยังสามารถสร้างรายได้ 1.51 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% YoY ด้านนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาสูงสุด
5 อันดับแรกได้แก่ มาเลเซีย จีน รัสเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ สำหรับในช่วง 2
เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กุมภาพันธ์) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 6.83
ล้านคน ขยายตัว 6.9% YoY สร้างรายได้ 3.32 แสนล้านบาท
ขยายตัว 17%
การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนมีสัญญาณอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน
สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในเดือนกุมภาพันธ์ที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 15
เดือน เหลือ 371,452 คน และหดตัวสูง
44.9% YoY ทำให้ในช่วง 2 เดือนแรกของปีมีนักท่องเที่ยวจีน
1.18 ล้านคน หดตัว 12.6% YoY ทั้งนี้
จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงแรงและยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดอยู่มาก
ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินทาง
รวมถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นจากจุดหมายปลายทางในประเทศอื่นๆ
ที่มีมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวเช่นกัน อย่างไรก็ตาม
การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ยังได้แรงหนุนจากการเติบโตของนักท่องเที่ยวหลักจากมาเลเซีย
รัสเซีย และอินเดีย
ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยโดยรวมในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่
38 ล้านคน สูงกว่า 35.5 ล้านคน ในปี 2567 แม้จะยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดที่ 40
ล้านคน แต่คาดว่าภาคท่องเที่ยวจะยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2568