คปภ. ยกระดับมาตรการแทรกแซงกำกับดูแลฐานะการเงินและความมั่นคงของบริษัทประกันภัย
คปภ. ประชุมร่วมภาคธุรกิจประกันภัย
หารือ
เพื่อยกระดับมาตรการกำกับดูแลเชิงป้องกันรองรับการใช้บังคับมาตรการยกระดับการกำกับดูแลฐานะทางการเงินและความมั่นคงของบริษัทประกันภัย
นายโสรัจจ์
แรกสกุลชัย ผู้ช่วยเลขาธิการ สายตรวจสอบ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.)
เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. โดยเลขาธิการ คปภ.
ได้ให้ความสำคัญต่อการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของธุรกิจประกันภัย
เพื่อให้สามารถปรับตัวได้เท่าทันความเสี่ยงและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที
จึงมอบหมายให้สายตรวจสอบ ร่วมกับสายงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ศึกษาและพัฒนาแนวทางยกระดับมาตรการกำกับดูแลเชิงป้องกันบริษัทประกันภัยที่มีการดำเนินการที่อาจกระทบต่อฐานะทางการเงิน
โดยพบว่า บริษัทประกันภัยส่วนใหญ่ที่ประสบปัญหาการดำเนินการที่อาจกระทบต่อฐานะการเงินจะแก้ไขปัญหาด้วยการจดทะเบียนเพิ่มทุนเป็นหลัก
อันเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นและไม่ได้เป็นการแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง
ทำให้ไม่สามารถสร้างเสถียรภาพความมั่นคงทางการเงินได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้
ที่ผ่านมามาตรการแทรกแซงตามกฎหมายสำหรับใช้เพื่อป้องกันหรือแก้ไขปัญหายังเผชิญกับข้อจำกัด
ไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างทันท่วงที
เนื่องจากยังไม่เข้าเงื่อนไขที่บริษัทประกันภัยมีฐานะเงินกองทุนต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด
หรือมีการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน
ด้วยเหตุดังกล่าว สำนักงาน คปภ.
จึงได้พัฒนาจัดทำมาตรการยกระดับการกำกับดูแลฐานะทางการเงินและความมั่นคงของบริษัทประกันภัย
เพื่ออุดช่องว่างในกระบวนการ
ให้บริษัทประกันภัยต้องดำเนินการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหรือแก้ไขปัญหาไม่ให้ลุกลามบานปลาย
จนอาจกระทบต่อผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน โดยเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 สำนักงาน คปภ.
ได้มีการประชุมร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัย
โดยมีผู้แทนจากสมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทยเข้าร่วม
เพื่อสื่อสารทำความเข้าใจ รับฟังความคิดเห็น
และเตรียมความพร้อมรองรับสำหรับการบังคับใช้เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติกับบริษัทประกันภัยต่อไป
ผู้ช่วยเลขาธิการ สายตรวจสอบ กล่าวเพิ่มเติมว่า
สำหรับมาตรการยกระดับการกำกับดูแลดังกล่าว
จะเป็นเครื่องมือที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย นำมาใช้กับบริษัทประกันภัยที่จัดอยู่ในกลุ่ม
2 กลุ่ม 3 และกลุ่ม 4 ตามการจัดกลุ่มของระบบสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า
(Early Warning System : EWS) ซึ่งมีปัจจัยหรือข้อบ่งชี้ในบางประการที่อาจนำไปสู่ผลกระทบต่อฐานะ
ทางการเงินและความมั่นคงของบริษัทประกันภัย และจะนำมาใช้เพื่อป้องกันก่อนที่เงินกองทุนของบริษัทประกันภัยดังกล่าวจะลดต่ำกว่าเงินกองทุนที่ต้องดำรงไว้ตามมาตรา
27 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย/ประกันชีวิต พ.ศ. 2535
ซึ่งในแต่ละมาตรการแทรกแซงจะมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ (Root
Cause) ที่แท้จริง เป็นไปตามสัดส่วนความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้นของแต่ละบริษัทประกันภัย
รวมถึงมีขั้นตอนการตัดสินใจ (Decision-Making Lines) ที่ชัดเจนและสามารถดำเนินการได้อย่างทันท่วงที
โดยมีข้อบ่งชี้ที่ใช้พิจารณาแบ่งกลุ่มบริษัทที่เข้ามาตรการแทรกแซงที่สามารถสะท้อนฐานะการเงิน
ความมั่นคงของบริษัทในปัจจุบัน และความทนทานของเงินกองทุนส่วนเกิน (Surplus)
ที่มีต่อผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิต่อเนื่องติดต่อกัน
ซึ่งแบ่งความทนทานของบริษัทออกเป็น 3 ระดับที่มีความสอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละระดับ
โดยจะเริ่มจากระดับเบาไปหาหนัก และหากบริษัทยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาตามมาตรการแทรกแซงได้
ก็จะถูกยกระดับการบังคับใช้มาตรการแทรกแซงที่สูงขึ้นในลำดับต่อไป
สำหรับผลการประชุมร่วมดังกล่าว
ผู้แทนจากสมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย
เห็นด้วยกับมาตรการยกระดับการกำกับดูแลดังกล่าว เนื่องจากจะทำให้บริษัทประกันภัยได้ทราบหลักเกณฑ์และระยะเวลาของมาตรการแทรกแซง
ที่ชัดเจนสามารถดำเนินการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุแห่งปัญหาที่แท้จริงก่อนที่ปัญหาจะลุกลามบานปลายจนอาจนำไปสู่
ผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัยและประชาชน
และมีความเห็นเพิ่มเติมในบางประเด็น อาทิ ในมุมของการมองผลขาดทุนของบริษัทประกันชีวิตที่อาจต้องมีการแยกพิจารณาผลขาดทุนในมุมผลขาดทุนที่แตกต่างจากบริษัทประกันวินาศภัย
เป็นต้น ซึ่งสำนักงาน คปภ. จะรับข้อคิดเห็นดังกล่าวนำไปพิจารณา
เพื่อให้มาตรการที่ออกมาสามารถนำไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อนบังคับใช้ในลำดับต่อไป
“การประชุมหารือร่วมกับผู้แทนสมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทยในครั้งนี้
นับเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างหน่วยงานกำกับและภาคธุรกิจประกันภัย
ในการจัดทำแนวทางและมาตรการยกระดับการแก้ไขปัญหาและแทรกแซงการกำกับดูแลฐานะการเงินและความมั่นคงของบริษัทประกันภัย
ซึ่งมาตรการดังกล่าวแม้จะเป็นมาตรการภายในกำหนดกรอบการใช้อำนาจตามกฎหมายของนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่
แต่จะถูกพัฒนาให้มีความโปร่งใส ครอบคลุมและคำนึงในทุกมิติอย่างรอบด้าน
มีแนวทางและกรอบระยะเวลาดำเนินการที่ชัดเจน
ภายใต้หลักการกำกับดูแลที่ดีและสอดคล้องกับกติกาที่เป็นสากล
สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับฐานะทางการเงินและความมั่นคงของบริษัทประกันภัยก่อนที่ปัญหาจะลุกลามบานปลายจนอาจนำไปสู่ไปกระทบต่อผู้เอาประกันภัยและประชาชนได้อย่างแท้จริง
ตลอดจนเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเพื่อให้มีการดำเนินกิจการที่ยั่งยืน
ซึ่งไม่เพียงจะช่วยเสริมเสถียรภาพของระบบประกันภัยโดยรวม
หากแต่ยังช่วยเสริมสร้างและเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ผู้เอาประกันภัยและประชาชนให้มากยิ่งขึ้น
กับทั้งไม่เป็นอุปสรรคต่อการ ดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันภัยโดยส่วนใหญ่
โดยสำนักงาน คปภ. จะประกาศแนวทางมาตรการดังกล่าวให้บริษัทประกันภัย
ทุกแห่งรับทราบต่อไป” ผู้ช่วยเลขาธิการ สายตรวจสอบ
กล่าวในตอนท้าย